วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

Medusa

ในตำนานของกรีกนั้น เมดูซ่า(Medusa) เป็นผู้หญิงที่มีผมเป็นงู และเมื่อมีคนมองมาที่ใบหน้าเธอ เธอจะสาปให้คนผุ้นั้นกลายเป็นหิน ที่จริงแล้วก่อนที่เมดูซ่าจะมีความร้ายกาจดังที่เป็นที่เล่าขานกันมานั้น เมดูซ่านั้นเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสวยงามมาก
เมดูซ่า เป็นหนึ่งในลูกสาวทั้งสามของ เมทิส ซึ่งเมทิสเป็นเจ้าแห่งสติปัญญาและสามารถแปลงร่างเป็นสิ่งต่างๆได้มากมาย แต่เดิมลูกทั้ง 3 ของเมทิสเป็นคนที่สวยงามมาก แต่แล้ววันหนึ่งเมทิสแม่ของเมดูซ่าถูกเทพ เซอุส(Zeus)ข่มขืนและกลืนกินลงท้องไป และเซอุสจึงได้ใช้สติปัญญาและความสามารถทางการแปลงร่างของเมทิสเพิ่มอำนาจให้กับตนเอง พลังอำนาจนั้นทำให้เทพเซอุสยิ่งใหญ่เหนือเทพทั้งปวง และต่อมาเทพธิดา เอเทน่า(Athena)ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากการที่พลังของ เมทิส ทะลักออกมาทางหน้าผากของ เซอุส เมื่อเอเทน่าได้กำเนิดขึ้นพร้อมกับความสามารถทางสติปัญญาของเมทิสผู้เป็นแม่ และเอเทน่าก็ถือเมดูซ่าพี่น้องร่วมสายเลือดแม่ เป็นศัตรูคนสำคัญ อยู่มาวันหนึ่งเมดูซ่าที่เป็นสาวงาม มีชายหลายคนหมายปองเป็นเจ้าของ ก็ได้ไปบูชาเทพเอเทน่ายังวิหารของเอเทน่า แล้วเทพโพไซดอน(Poseidon)ก็เห็นเมดูซ่าที่มีหน้าตาสวยงามมาก จึงต้องการครอบครองเมดูซ่าเป็นของตน จึงใช้กำลังขืนใจเมดูซ่า เอเทน่าเห็นดังนั้นจึงใส่ความเมดูซ่าว่า ลบหลู่เอเทน่าในวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และสาบเมดูซ่าให้กลายเป็นมารร้ายหน้าตาน่าเกลียด และสาบให้ผมสวยงามของเมดูซ่าเป็นงูเต็มหัวเมดูซ่า เมื่อเป็นเช่นนี้เมดูซ่าต้องได้รับความอับอาย โกรธแค้นจึงได้ใช้ความเกลียดชังนั้นมาเป็นพลังในการสาบคนที่มองหน้าเธอให้กลายเป็นหินไป เพื่อตอบแทนสิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นเช่นนี้ เมดูซ่าจึงกลายเป็นมารร้ายที่สุดตนนึงในตำนานกรีก
สุดท้ายเมดูซ่าก็ถูกเพอร์เซอุสฆ่าตายจากการถูกเพอร์เซอุสใช้ดาบฟันคอขาด ซึ่ง เอเทน่าเป็นคนอยู่เบื้องหลังในการตายของเมดูซ่า ที่เอเทน่าให้เพอร์เซอุสไปฆ่าเมดูซ่าแทนนั้นเพราะเอเทน่าเป็นเทพแล้วจึงใช้อำนาจในทางที่ผิดได้ไม่มาก จึงใช้มือของเพอร์เซอุสในการทำการเรื่องนี้


**คำ "เมดูซ่า-Medusa" มีมานานแล้ว ยังคงเป็นรากศัพท์ในหลายๆ ภาษาโบราณ เช่น ภาษาสันสกฤต คือ "เมธา" ภาษากรีกคือ Metis และในภาษาอียิปต์โบราณคือ Met หรือ Maat 

ตำนาน "นางเงือก"

  • เงือก เป็นเผ่าพันธุ์ของอมนุษย์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกอีกชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าเงือกพวกนี้อาจมีถิ่นกำเนิดบนฝั่ง บริตานี และว่ายข้ามช่องแคบอังกฤษ ไปยังคอร์วอลล์ จึงทำให้ผู้คนที่นั่นขนานนามว่า เมอร์เมด-เมอร์แมน (เงือกตัวเมีย-ตัวผู้ )อันเปนคำผสมของแองโกล-ฝรั่งเศส และจากคอร์นวอลล์นี่เอง เงือกที่แพร่พันธุ์ไปจนถึงฝั่งตะวันตกของอังกฤษ ไปถึงรอบๆสกอตแลนด์ ตอนเหนือสู่สแกนดิเนเวียมีบางครั้งที่เราอาจเห็นเงือกในจุดต่างๆตลอดแนวฝั่งยุโรปด้วย อาจเปนเพราะเงือกชอบอากาศเย็นและแนวฝั่งแอตแลนติกของอังกฤษกับไอร์แลนด์ (อันหลังนี่เรียกว่าเมอร์โรว์และเมอรูชา )
  • ในต่างถิ่นมีตำนานเล่าถึงกำเนิดเงือกต่างๆกัน นิทานพื่นบ้านของยุโรปบอกว่า "ในสงครามกรุงทรอยเศษไม้จากซากเรือรบ ที่ถูกเผาวอดวาย กลายสภาพเป็นเลือดเนื้อ และเกิดเป็นสิ่งมีชีวิต คือ เงือก"
  •  ชาวไอริสเล่าว่า "นางเงือก คือผู้หญิงนอกศาสนาที่ถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดิน"
  •  บางท้องที่เล่าว่า ชาวเงือกคือลูกๆของฟาโรห์ ที่จมน้ำในทะเลแดง
  • ในตำนานเทพของกรีก ต้นตระกูลเงือกคือ ไตรตอน ซึ่งเปนลูกของ โพเซดอน เทพเจ้าแห่งท้องทะเล กับพรายน้ำสาวตนหนึ่ง ผู้คนมักจะจินตนาการว่า ไตรตอนมีหางเป็นปลา ไว้หนวดเครายาว ทรงอำนาจในท้องทะเลเหมือนพ่อ ไตรตอนอาศัยอยู่ในปราสาททองคำที่ซ่อนตัวอยู่ก้นทะเล มีตรีศูล (ฉมวกสามง่าม)เป็นอาวุท คอยเป่าแตรหอยสังข์ เพื่อควบคุมทะเล ให้สงบหรือบ้าคลั่ง ไตรตอนจึงมีสมญานามว่า นักเป่าแตรแห่งท้องทะเล
  • แต่ตำนานที่เก่าแก่เล่าว่าชาวเงือกยุคบุกเบิกคือ โอนเนส(oannes)เทพแห่งทะเลของชาวบาบิโลน(อาณาจักรโบรารในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้)ซึ่งมีพลังอำนาจต่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ โอนเนส เป็นตัวแทนของดวงอาทิตย์ มีร่างกายเป็นมนุษย์ และมีศรีษะเป็นปลา (บ้างก็ว่าสวมเสื้อคลุมเป็นปลา)โอนเนสจะปรากฎกายขึ้นจากทะเล ในยามเช้า และกลับลงไปในทะเลตอนพลบค่ำทุกวันต่อมา เทพอียา(EA) ซึ่งมีลักษณะครึ่งคนครึ่งปลา เช่นกันก็ได้ค่อยๆเข้ามามีบทบาทแทนที่โอเนส ซึ่งถือกันว่า เทพเจ้าอียาเป็นบรรพบุรุษของเงือก ส่วนเทพเจ้า อาทาร์การ์ติส(Atargartis) เป็นตัวแทนของดวงจันทร์ มีลักษณะตรึงคนครึ่งปลาเช่นเดียวกัน สาเหตุที่เทพเจ้าต่างๆต่างๆของชาวบาบิโลน มีลักษณะดังกล่าวนี้ เพราะพวกเขาเชื่อว่า เมื่อพวกเขาเสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละวัน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ก็จะจมหายลงไปในทะเล ดังนั้นเทพเจ้าของเขา จึงควรมีรูปร่างลักษณะ ที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก
  • เรื่องราวเหล่านี้ล้วน เป็นปริศนา ลี้ลับที่ไม่สามารถ อธิบายได้ ความลึกลับนี้ สืบทอดสืบทอดต่อเนื่องกันมาโดยผ่านเรื่องเล่าเกี่ยวกับเงือก กระจกที่นางเงือกใช้ส่องนั้น เป็นตัวแทนของดวงจันทร์ ซึ่งการโคจรของดวงจันทร์นั้นมีอิทธิพลต่อการเกิดน้ำขึ้นน้ำลง และความเชื่อมโยง กันระหว่างดวงจันทร์และนางเงือกนี้ได้ช่วยให้ตำนานของนางเงือกมีความแปลกประหลาดพิศดารมากยิ่งขึ้น
  •  เมื่อศาสนาคริสต์เริ่มก่อตั้งขึ้น ตำนานนางเงือกได้เปลี่ยนแง่มุมไปจากเดิม ตามความเชื่่อของศาสนาคริสต์นั้น นางเงือกสามารถที่จะมีชีวิตและจิตจัย และวิญญาณได้ แต่จะต้องสัญญาว่าจะอาศัยอยู่บนบกตลอดไปไม่คิดจะกลับคืนสู้ท้องทะเลอีก ซึ่งเปนเรื่องที่เปนไปไม่ได้ จึงถือเป็นการสร้างความทรมานใจให้แก่ตัวเธอเป็นอย่างยิ่ง 
  •  มีเรื่องราว อันน่าเศร้าใจเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับนางเงือก ซึ่งไปเยียมเยียนนักบวชรูปหนึ่งอยู่เป็นประจำ ณ สถานที่อันเป็นที่เคารพสักการะในเกาะไอโอนา(Iona)เกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง ห่างออกไปจากประเทศสกอตแลนด์เธอได้ขอชีวิตจิตจัยและวิญญาณ จากนักบวชรูปนั้น และนักบวชก็ได้สวดมนต์ขอพรให้แกเธอแต่เธอจะต้องละทิ้งท้องทะเลของเธอตลอดไป แม้ว่าเธอจะปรารถนาชีวิตและจิตใจมากเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถละทิ้งทะเลไปได้...ตอนจบค่อนข้างเศร้าเล็กน้อย เธอได้ไปจากเกาะนั้น และน้ำตาของเธอได้กลายมาเป็นก้อนกรวดสีเขียวเทา หากมีใครพบก้วนกรวดดังกล่าวบนเกาะไอโอนา ก็จะกล่าวบนเกาะไอนา ก็จะเป็นที่ทราบกันดีว่า คือน้ำตา ของนางเงือก
  •  ชาวประมงมักจะเห็นเงือกอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะในเวลาที่คลื่นลมแรงจัด พวกนี้กล่าวว่าไม่มีอะไรงามเตะตาเท่ากับที่ได้เห็นกลุ่มเงือก ทุกวัยโลดแล่นอยู่ในทะเลที่กำลังมีคลืนลม ร่างกาย สีเงินยวงของพวกนี้ดูระยิบระยับเหนือคลื่น ดวงตาสีเขียวเป็นประกายสนุกสนานยามเมื่อไถลตัวลงตามคลื่น
  • แม้ว่าเงือกจะอาศัยอยู่ใต้ทะเล แต่ก็สามารถพูดภาษาคนของแผ่นดินที่มันอาศัยอยู่ไกล้ที่สุดได้เช่นกัน ว่ากันตามอุปนิสัยแล้ว นางเงือกที่มักจะชอบขึ้นมาเที่ยวชายฝั่ง ก็แค่มานั้งหวีผมที่ยาวสลวย ฟังเสียงทะเลและนกร้องเท่านั้น เงือกเป็นสิ่งมีชีวิตในทะเลที่ฉลาดที่สุดและว่องไวเกินกว่าจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องยุ่งยากใดๆเงือกกินปลาและอาหารทะเลอื่นๆแต่ก็ไม่เคยเข้าไปข้องแวะในกิจกรรมของชาวประมงยกเว้นว่ามนุษย์ไปรุกรานเงือกเข้าเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น
  •  นางเงือกเป็นสิ่งมีชีวิตเพศเมียที่น่าสนจัย เพราะมีความสวยสะดุดตา และมีความลึกลับที่น่าค้นหา พวกนี้มีผมสีบลอนด์แก่อ่อนต่างระดับ เรียกว่า"สตรอเบอรี่บลอนด์"มีดวงตากลมโตสีเขียว หรือเขียวอมฟ้าเหมือนน้ำทะเล ผิวเนื้อส่วนที่เปนคนขาวบริสุทธ์ผุดผ่องเหมือนไข่มุก เมื่อลงไปอยู่ในทะเลก็จะเคลือบเป็นสีเงิน ยิ่งกว่านั้น ทรวงอก ช่วงไหล่ แขน เอวและสะโพกยังอยู่ในส่วนที่พอเหมาะสวยงาม ชาวเงือกมีพัฒนาการช้ามาก จึงไม่อาจเดาอายุที่แท้จริงได้เงือกที่อ่อนเยาว์ใช้เวลานานมาก กว่าจะถึงวัยรุ่นแล้วยังได้ใช้ชีวิตตอนนี้อย่างมีความสุขอีกนาน กว่าจะถึงวัยสาวเต็มที่ และยังคงอยู่ในสภาพความเป็นสาวเช่นนี้ไปนานนับปีๆทีเดียว ส่วนพวกนายเงือก ก็หล่อเหลาเอาการ พวกนี้ดูบึกบึนร่างกายเต็มไปด้วยขนและแลดูคล้ำกว่า พวกที่เป็นเพศเมีย การปรากฎตัวของมันก็ดูอ่อนโยนกว่าบุคลิกมากทีเดียว เงือกเป็นสิ่งที่ไม่มีวิญณาน แต่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ อันอาจทำให้เป็นอมตะ และสามารถทำนายอนาคตได้
  •  ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับเงือกเป็นเรื่องซับซ้อนเกินเข้าจัย ในเมือสายพันธุ์ทั้งสองต่างก็ประทับจัยในความงามของร่างกาย ของแต่ล่ะฝ่าย เรื่องราวความรัก ระหว่างเงือกกับมนุษย์มักจะมีให้ฟังเสมอแต่ความที่บุคลิกและการดำรงชีวิตกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทำให้ความสัมพันธ์ แต่ละครั้งมักจะจบลงด้วยความเศร้า นางเงือกไม่สามารถทนอยู่กับมนุษย์ได้นาน ด้วยความที่รักอิสระเสรี เธอจึงเริ่มรู้สึกว่าชีวิตที่แห้งแล้งและเต็มไปด้วยฝุ่นบนบก เป็นสิ่งที่น่ายุ่งยาก นางเงือกจะไม่ทำงานบ้าน สิ่งเดียวที่เธอทำคือ นั่งส่องกระจก หวีผม และลองทำผมทรงใหม่ๆซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้รักจืดจาง (ก็มนุษย์ผู้ชายยกงานบ้านให้ผู้หญิงหมด)เธอจะเริ่มรู้สึกชิงชังการพูดซุบซิบนินทาของมนุษย์จนต้องหนีลงทะเล และเข้าร่วมกลุ่มกับเพื่อนเก่า หวีผม และร้องเพลง กันที่ริมหาดเหมือนเดิม
  •  เชื้อสาย ของนางเงือก และมนุษย์ จะมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่จะมีพังผืดที่มือและเท้าแถมมาด้วยทำให้ว่ายน้ำได้คล่องแคล่ว 
  •  เป็นที่ทราบกันดีว่า นางเงือกจะทำการแก้แค้นอย่างโหดร้ายทารุณ หากถูกขัดขวางหรือดูถูก ชาวประมงที่เคยมีเมียเป็นเงือกไม่ควร ออกทะเลอีกต่อไป หลังจากที่หล่อนจากไปแล้ว เพราะเขาจะไม่มีวันจับปลาได้อีกเลย ยิ่งกว่านั้นทั้งเรือและตัวเขาเองอาจถูกทำลายทิ้งกลางทะเลด้วย หากยังดื้อดึงที่จะออกทะเลต่อไป   (เพราะพวกเธอถือว่าที่คู่ชีวิตไปกันไม่รอด เป็นความผิดของอีกฝ่าย)
  •  ชุมชนประมงชายฝั่งมักจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับนางเงือก เพราะรู้ว่านางเงือกมีอำนาจการหยั่งรู้ พวกนี้เลยต้องการให้เธอช่วยทำนายอนาคตให้  ไม่ว่าจะเป็เรื่องของอากาศ หรือแหล่งที่มีปลาชุกชุม ส่วนค่าจ้างของนางเงือกไม่ได้ว่ากันเป็นเงิน แต่เธอจะทำงานแลกกับหวีทองและกระจกทองเท่านั้น
  •  ในบางกรณีพวกเงือก แสดงตนเชื่อมโยงกับลูกมนุษย์โดยสำแดงตนเป็นผู้พิทักษ์เด็กก็มี พวกนี้พร้อมที่จะลงโทษใครก็ตามที่รบกวนเด็กให้ได้รับความเจ็บไข้ทุกรูปแบบ 
  • แต่บางตำนานก็เล่ากันว่า นางเงือกคือนางฟ้าฝ่ายอธรรม ที่ใช้ เสียงอันไพเราะหลอกล่อให้ชายหลงไหล เมือกล่อมจะหลับแล้ว เธอจะฉีกเนื้อของผู้ชายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ด้วยฟันอันแหลมคม กินเนื้อของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายนั้น

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

กำเนิดดอกทานตะวัน:: สัญลักษณ์ของรักที่มั่งคง


ประวัติศาสตร์กลายเป็นตำนาน ตำนานกลายเป็นเทพนิยาย
  ไคลที (Clytie) เป็นเทพอัปสรแสนสวยประจำน่านน้ำ นางเป็นธิดาของ เทพแห่งสมุทร (เนปจูน) กับ เทวีทีธิส เมื่อไคลที เจริญวัยเป็นสาว เธอมิได้ใส่ใจเทพหรือมนุษย์หนุ่มใด ๆ เลย อยู่มากระทั่งวันหนึ่ง เกิดพายุพัดกระหน่ำมาอย่างรุนแรง ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยพัดมาถึงข้างใต้ทะเลเลย พายุได้พัดพาสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ใต้ทะเลขึ้นมาข้างบน ซึ่งไคลทีก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นด้วย เมื่อไคลทีถูกคลื่นทะเลซัดขึ้นมาถึงฝั่ง ก็ฟื้นคืนสติ ก็มองเห็นแสงแดด พืชพันธุ์ไม้ต่าง ๆ และสิ่งที่สวยที่สุด ก็คือแสงตะวันที่สาดส่อง ไคลทีเพิ่งมีโอกาสเห็นแสงอาทิตย์เป็นครั้งแรก ก็เกิดความรักในพระอาทิตย์ขึ้นมาคือ เทพอพอลโล ทุก ๆวันไคลทีจะเฝ้ามอง ดูความงดงามของดวงอาทิตย์ วันแล้ว วันเล่า จนกระทั่งเทพทั้งหลาย สงสารนาง เพราะเทพอพอลโลไม่เคยเหลียวแล จนร่างกายของไคลที เปลี่ยนไปเพราะกาลเวลาในโลกมนุษย์ ในที่สุด เทพและเทวี ทั้งหลายก็เห็นใจ แปลงนางให้เป็นไม้ดอกชนิดหนึ่งชื่อ ทานตะวัน เมื่อมีดอกบานก็จะหันตามดวงอาทิตย์ตลอดเวลา ตั้งแต่เช้ายันค่ำ เมื่อเริ่มวันใหม่ก็จะหันตามดวงอาทิตย์ใหม่ จนกว่าดอกจะเหี่ยวเฉาไปตามธรรมชาติ

**คราวใดที่เห็น ดอกทานตะวัน นั่นคือ ไคลที เทพอัปสรผู้มีรักแท้มอบแด่ สุริยเทพ..